การปลูกถ่ายไขกระดูกรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้อย่างไร ?
การปลูกถ่ายไขกระดูกในคนไข้ที่เป็นมะเร็งโลหิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเล็ดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งไขกระดูก สามารถทำได้ตั้งแต่คนที่มีอายุ15 ปีขึ้นไป ซึ่งถ้าเข้าเกณฑ์ในการปลูกถ่ายไขกระดูกสามารดำเนินการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ เน้นเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบบ่อยทั่วโลกอยู่ลำดับที่ 6 หรือประมาณ 3% ของมะเร็งทั่วโลก
ปัญหาของมะเร็งตอมน้ำเหลือง คือ แม้ว่าจะรักษาด้วยเคมีบำบัดแล้ว ผลการรักษาดีก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหายก็ตาม ปัญหานึงที่จะพบในคนไข้โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือการกลับมาเป็นซ้ำหลังจากได้รับยาเคมีบัตจนครบแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุเสียชีวิตอันสำคัญการรักษาจะมีวิธีการปลูกถ่ายกระดูก
การปลูกถ่ายไขกระดูกสามารถปลูกถ่ายไขกระดูก แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. การปลูกถ่ายไขกระดูก โดยเซลล์ต้นกำเนิดของตนเอง Stemcell transplant คือการเก็บตัวเซลล์ต้นกำเนิดของตัวเอง ออกมาก่อนแล้วหลังจากผ่านการรักษาแล้วค่อยใส่เซลล์ต้นกำเนิดของตัวเองกลับเข้าไป
2. การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเซลลล์ต้นกำเนิด หรือสเตมเซลล์ของผู้บริจาคคนอื่นไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง หรือผู้บริจาคที่เซลล์ต้นกำเนิดตรงกัน
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกที่มีข้อมูลแล้วว่าได้ประโยชน์ชัดเจน คือ การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยวิธีการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของตนเอง หรือที่เราเรียกว่า Stemcell transplant เพราะมีข้อมูลชัดเจนว่าสามารถเพิ่มโอกาสการหายขาด หรือโรคสงบได้นานขึ้น ลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ และลดโอกาสการเสียชีวิตได้เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเซลล์ต้นกำเนิดของผู้อื่น
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีโอกาสการกลับเป็นซ้ำขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งยิ่งระยะท้ายๆ โอกาสการกลับเป็นซ้ำจะเยอะขึ้น จากข้อมูลการศึกษาทั่วโลกแล้วพบว่าในระยะที่ 3-4 ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหลังการรักษาหายขาดในระยะเวลาประมาณ 2 ปี อาจมีโอกาสการกลับเป็นซ้ำอยู่ที่ประมาณ 50%-60% แปลว่าถ้าเป็นระยะ 3-4 แม้จะให้ยาเคมีจนหายขาดแล้ว ไม่เจอก้อนแล้วก็ตามภายใน 2 ปีครึ่ง ก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ดีที่สุด คือรักษาให้หายขาด และโรคไม่กลับเป็นซ้ำ แต่ถ้าผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กลับเป็นซ้ำครั้งที่ 2 โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดหรือโรคสงบได้ก็จะลดลงเหลืออยู่ที่ประมาณ 20%-30% ซึ่งจะแตกต่างจากการรักษาให้ดีตั้งแต่ทีแรกแล้วหายขาดตั้งแต่ทีแรก จะหายขาดได้นานกว่า
ถ้าระยะ 1-2 โอกาสการกลับเป็นซ้ำน้อยกว่าประมาณ 20%-40% โอกาสหายขาดประมาณ 80% และ 20% อาจจะกลับมาเป็นซ้ำใหม่ ถ้าระยะ 3-4 โอกาสหายขาดอยู่ 50%และอีก 50% ก็จะมีโอกาสกลับซ้ำใหม่
ปัจจุบันการปลูกถ่ายไขกระดูก มีข้อมูลมากขึ้นว่าได้ประโยชน์ในคนไข้ที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบบกลับเป็นซ้ำ หรือดื้อต่อการรักษาสูตรแรกซึ่งการปลูกถ่ายไขกระดูกจะเพิ่มโอกาสในการที่โรคสงบ หรือโอกาสที่จะหายขาดได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20%
ในกรณีของคนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 3-4 เป็นชนิดที่ที่มีความรุนแรงรักษาแบบเดิมในปัจจุบัน ที่ให้ยาจนครบก้อนหายแล้ว ประมาณครึ่งนึงจะหายขาด อีกครึ่งนึงก็จะกลับมาใหม่ แต่ถ้าคนไข้กลุ่มนี้ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกแบบเซลล์ตัวเองจะทำให้เพิ่มโอกาสหายขาดจาก 50% เป็น 70%- 80% และลดการกลับเป็นซ้ำได้
เซลล์แบบชนิดที่รุนแรงเป็นเซลล์ประเภทไหน ในแง่ของการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้วได้ประโยชน์ตั้งแต่หลังการรักษาจบครั้งแรกเลยจะเรียกว่าเป็น Aggressive non hodgkin lymphoma เพราะฉะนั้นในแง่ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เป็น Aggressive non hodgkin lymphoma จะแบ่งเป็น 2 ชนิดหลักๆ ก็คือ ชนิด B cell Lymphoma กับ T cell Lymphoma ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนอยู่แล้วว่าในแง่ของ T cell Lymphoma ทุกชนิดได้ประโยชน์จากการปลูกถ่ายไข่กระดูกแต่ในแง่ของ B cell Lymphoma จะมีประโยชน์ในการปลูกถ่ายไขกระดูกในกลุ่มคนไข้ที่เราประเมินสกอร์ในทางการแพทย์ หรือทางคุณหมอโรคเลือดจะมีการประเมินสกอร์ที่เรียกว่า ipi สกอร์ ทางแพทย์ทุกคนจะเป็นคนประเมินถ้าประเมินแล้วคนไข้ได้สกอร์ตรงนี้ตั้งแต่ 3 คะแนนขึ้นไปซึ่งหมอก็จะดูตั้งแต่อายุที่เกิน 65 ปี ระยะของโลก และการตรวจเลือดต่างๆซึ่งถ้าเราประเมินแล้วได้ 3 คะแนนขึ้นไปเราเรียกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหมืองชนิดรุนแรง และมีโอกาสรอดชีวิตที่ต่ำกว่าปกติ
ปัจจัยที่จะมีผลในการปลูกถ่ายไขกระดูก รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
1. ระยะของมะเร็ง
2. อายุผู้ป่วย
การปลูกถ่ายไขกระดูกแนะนำว่าให้ทำในกลุ่มผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 65 ปีลงมา แต่ถ้าบางคนเห็นว่ามีความจำเป็นต้องทำจริงๆเราอาจจะอนุโลมให้ถึงอายุ 70 ปีแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหมอต้องเป็นคนประเมินว่าคนไข้ที่อายุระหว่าง 65-70 ปีเนี่ยมีความพร้อมเพียงพอที่จะปลูกถ่ายไขกระดูกหรือไม่ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงเพียงพอหรือทำไปแล้วเกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็จะไม่แนะนำให้ปลูกถ่ายไขกระดูก
การรักษาด้วยการปลุกถ่ายไขกระดูกตามหลังจากการให้ยาเคมีบำบัด ถ้าลดการกลับมาเป็นซ้ำ หรือโอกาสหายขาดจาก 50% เป็น 70% ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะพอกลับมาเป็นซ้ำแล้วโรคก็จะดื้อยา
ขั้นตอนในการปลูกถ่ายไขกระดูก เริ่มต้นต้องแยกชนิดว่าจะปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเซลล์ต้นกำเนิดของตัวเราเองหรือของผู้อื่น ซึ่งหลักๆ บทความนี้จะเน้นในเรื่องของเซลล์ต้นกำเนิดของตัวเองเป็นหลัก การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเซลล์ต้นกำเนิดของตัวเอง หลักการคือต้องให้ยาเคมีบำบัดเข้าร่างกายคนไข้เพื่อไปเผาเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ หรือให้เหลือน้อยที่สุด หรือแทบไม่เหลือเลย การรักษามะเร็งในร่างกายเรา เหมือนกับป่าป่านึง มีมะเร็งที่เรียกว่าวัชพืชโตขึ้นมาบนสนามหญ้า เมื่อหญ้าขึ้นมาการให้ยาเคมีบำบัดก็เหมือนใช้ยาฆ่าหญ้าจนหมด แต่บางครั้งจะมีเซลล์เล็กๆที่ซ่อนอยู่ใต้ดินที่เป็นหญ้าจะงอกใหม่ ดังนั้นการที่ปลูกถ่ายไขกระดุกเหมือนการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อจะฆ่าเซลล์ให้หมด ขณะเดียวกันการให้ยาเคมีบำบัดทำให้เซลล์ปกติเราจะตายไปด้วย ดังนั้นร่างกายเราทั้งเซลล์ปกติ และเซลล์ดีก็จะถูกทำลายพร้อมกัน การที่ปลูกไขกระดูกคือเอาเซลล์ของเราที่ซ่อนเก็บไว้แล้วมาปลูกใหม่ เปรียบเสมือนปลูกป่าใหม่นั้นเอง
ขั้นตอนการปลูกถ่ายไขกระดูก
- ให้ยากระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเตมเซลล์แก่คนไข้ ซึ่งยาชนิดนี้จะเป็นเป็นยาฉีดคล้ายๆ กับฉีดยาเบาหวาน ฉีดผนังหน้าท้อง ปกติเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์จะอยู่เฉพาะในไขกระดูก ไม่ได้ออกมาในกระแสเลือดมากมายเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราเลยต้องกระตุ้นสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดให้ออกมาที่กระแสเลือด สามารถฉีดเองได้ วันละครั้ง ฉีดผ่านผนังหน้าท้อง โดยทั่วไปจะฉีดประมาณ 5 วัน พอวันที่ 5 จะให้คนไข้เข้าห้องปลอดเชื้อ เข้าสู่กระบวนการปลูกถ่ายไขกระดูก พอเข้าห้องปลอดเชื้อคุณหมอจะเจาะทำเส้นเลือดตรงคอไว้สำหรับดูดเลือดเอาไว้เก็บสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด การเจาะเลือดจะทำผ่านเส้นนี้ทั้งหมด คนไข้ก็ไม่ต้องโดนเจาะเส้นเลือดหาเส้นเป็นประจำ ประโยชน์ของการเจาะเส้นเลือดที่คอ คือลดโอกาสการติดเชื้อ และการอักเสบจากเส้นต่างๆที่ต้องเจาะเส้นเลือด หลังจากนั้นวันถัดไปจะเริ่มเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเตมเซลล์ที่เราเรียกกัน ผ่านทางเส้นเลือดนี้ กระบวนการเก็บจะมีเครื่องในการปั่นเลือดจะเริ่มเก็บสเตมเซลล์เราจะดึงเลือดของคนไข้ออกมาเข้าหมุนวนในเครื่อง แล้วดึงเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเตมเซลล์ออกมาส่วนเลือดที่เหลือเราดึงกลับเข้าคนไข้เพราะฉะนั้นเลือดไม่ได้หายไปไหนเราดึงเฉพาะตัวเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเตมเซลล์ออกมา การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องทำอะไร เพียงนอนนิ่งๆ อย่างเดียวที่เหลือเป็นหน้าที่ของทีมแพทย์ ทีมพยาบาล โดยทั่วไปทำประมาณ 1-2 วัน ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทำๆมาด้วยยาที่ดีขึ้น อะไรที่ดีขึ้นประมาณ 1 วันก็สามารถเก็บสเตมเซลได้เพียงพอ จะเก็บเซลล์ต้นกำเนิดประมาณ 2 ล้านเซลล์
- ลำดับถัดไปในการปลูกถ่ายไขกระดูกคือการให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูง ซึ่งชนิดของยาเคมีบำบัดจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งที่เรารักษา มะเร็งที่รักษาหลักๆจะมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไขกระดูกซึ่งถ้าเป็นมะเร็งไขกระดูก การให้ยาเคมีบำบัดจะให้เพียง 1 วันแต่ถ้าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะให้ยาเคมีบำบัดประมาณ 6-7 วัน ขั้นตอนนี้สำคัญคนไข้จำเป็นต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อที่เป็นห้องแรงดันบวก ห้องแรงดันบวกมีไว้เพื่อผลักเชื้อโรคผลักอากาศให้ออกนอกห้อง โอกาสในการติดเชื้อตรงในระหว่างการปลูกถ่ายไขกระดูกก็จะลดลง ยาเคมีบำบัดที่ให้ขนาดสูงอยู่แล้วแต่จะมียาต้านขึ้นไส้อาเจียนประมาณ 3 ตัวที่เราใช้ร่วมกัน จะช่วยคุมอาการของการคลื่นไส้อาเจียนจากยาเคมีบำบัดได้ดีมากขึ้น ถ้าคนไข้มีภาวะไม่สามารถทานข้าวได้ จะมีวิธีการให้สารอาหารทางเส้นเลือดก็เพียงพอเพราะอันนี้สำคัญ เกี่ยวกับเรื่องการฟื้นตัว
- หลังจากได้ยาเคมีบำบัดตรงเพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง ผู้ป่วยจะไม่มีเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกเลย หลังทำลายเซลล์มะเร็งหมดแล้วก็จะใส่เซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ของคนไข้เองใส่กลับเข้าร่างกายคนไข้ โดยสามารถให้ในวันหลังจากให้ยาเคมีบำบัด หรือจะพัก 1 วันก็ได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคนไข้และสูตรในการรักษามะเร็งนั้นๆ
ในระหว่างนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของคนไข้ เพราะคนไข้จะมีระยะเวลาที่จะเกิดเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ความเข้มข้นเลือดต่ำประมาณ 10 วัน เพื่อรอเซลล์ต้นกำเนิดที่ใส่เข้าไปฝั่งตัวในไขกระดูก
หลังจากปลูกถ่ายไขกระดูกใส่เซลล์ต้นกำเนิดไปแล้วประมาณ 10-12 วัน เม็ดเลือดขาวจะกลับขึ้นมาปกติ เกล็ดเลือดจะกลับขึ้นมาปกติแต่ช่วงที่สำคัญในช่วง 10 วันนี้คือคนไข้จำเป็นจะต้องดูแล
อย่างใกล้ชิด เพราะจะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำมีโอกาสติดเชื้อได้ เพราะะนั้นอันนี้จึงมีความจำเป็นว่าจะต้องอยู่ในห้องพิเศษที่เรียกว่าห้องแรงดันบวก เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
โดยเฉลี่ยกระบวนการปลูกถ่ายไขกระดูก ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 2-3 อาทิตย์
การดูแลตัวเองหลังจากออกจากห้องปลอดเชื้อ จากการปลูกถ่ายไขกระดูก
- พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปในแหล่งชุมชนที่อาจจะมีโอกาสการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อหวัดไข้หวัด หรือเชื้ออื่นๆ
- งดรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ และไม่สะอาด เพราะภูมิอาจจะต่ำหลังจากปลูกถ่ายไขกระดูกประมาณ 2 เดือน
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วจะนัดคนไข้ประมาณ 1-2 อาทิตย์เพื่อกลับมาเช็คเลือด เพื่อดูระดับของเม็ดเลือดขาว หลังจากนั้นจะนัดติดตามคนไข้ประมาณ 2-3 เดือนเพื่อดูอาการ
การปลูกถ่ายไขกระดูก โดยเฉพาะการใช้เซลล์ต้นกำเนิดตัวเองมีผลการรักษาค่อนข้างดี ผลแทรกซ้อนต่ำ เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูกใช้เซลล์ตกำเนิดของคนอื่น และมีผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ
การเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เป็นเซลล์ชนิด aggressive type ไม่ว่าจะเป็น B cell หรือ T cell ถ้าเข้าเกณฑ์การรีบรักษาจะทำให้มีโอกาสหายขาดสูงขึ้นจาก 50% กลายเป็น 70% – 80% มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีโอกาสการกลับเป็นซ้ำมากที่สุดในช่วง 2 ปีแรก เพราะฉะนั้นในระยะเวลา 2 ปีถ้ามีโอกาสได้ปลูกถ่ายไขกระดูก และคนไข้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนั้นเข้าเกณฑ์ในการปลูกถ่ายไขกระดูก แนะนำให้ปลูกถ่ายไขกระดูกดีกว่า
สอบถามและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เบอร์ติดต่อ 0638166058