คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขกระดูก
1. การปลูกถ่ายไขกระดูกคืออะไร?
การปลูกถ่ายไขกระดูก คือ การแทนที่เซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกของผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการรักษามะเร็ง เช่น เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันใหม่และเพิ่มโอกาสการฟื้นตัว
2. การปลูกถ่ายไขกระดูกช่วยเพิ่มโอกาสหายขาดจากมะเร็งได้อย่างไร?
การปลูกถ่ายไขกระดูกช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันใหม่ที่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลือในร่างกาย และช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
3. ใครเหมาะสมกับการปลูกถ่ายไขกระดูก?
ผู้ป่วยที่เหมาะสม ได้แก่
- ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือเม็ดเลือดขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน
- ผู้ป่วยที่มะเร็งอยู่ในระยะที่ควบคุมได้
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับการรักษา
4. การปลูกถ่ายไขกระดูกมีประเภทใดบ้าง?
- Autologous Transplant: ใช้เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเอง ลดความเสี่ยงของการปฏิเสธ
- Allogeneic Transplant: ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค เหมาะกับผู้ที่ไขกระดูกเสียหายรุนแรง
5. การปลูกถ่ายไขกระดูกมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
- ความเสี่ยงของภาวะ Graft-versus-host Disease (GVHD) ในการปลูกถ่ายแบบ Allogeneic
- ภาวะติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอในช่วงแรก
- อาการข้างเคียงจากเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี
6. การดูแลตัวเองหลังการปลูกถ่ายไขกระดูกต้องทำอย่างไร?
- รักษาสุขอนามัยส่วนตัวเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
- รับประทานอาหารที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยงติดเชื้อ
- ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องกับทีมแพทย์
7. การปลูกถ่ายไขกระดูกเพิ่มโอกาสหายขาดได้มากน้อยแค่ไหน?
ความสำเร็จขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษา โดยผู้ป่วยบางรายสามารถหายขาดจากมะเร็งได้
8. ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการฟื้นตัวหลังการปลูกถ่าย?
การฟื้นตัวอาจใช้เวลา 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วยและการตอบสนองของร่างกาย
9. การปลูกถ่ายไขกระดูกเหมาะกับทุกช่วงอายุหรือไม่?
ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุไม่เกิน 65 ปีและมีสุขภาพพื้นฐานแข็งแรง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
10. การปลูกถ่ายไขกระดูกมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลและประเภทการปลูกถ่าย โดยควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลที่รับการรักษา