ดื่มน้ำอย่างไร? ช่วยร่างกายสู้เคมีบำบัด
การให้เคมีบำบัดสามารถทำให้ร่างกายขาดน้ำ (dehydration) ได้ง่าย เนื่องจากยาระเหยออกผ่านไต และผลข้างเคียงเช่น อาเจียน ท้องเสีย เหงื่อออก หรือปัสสาวะบ่อยจึงทำให้สูญเสียของเหลวมากขึ้น
การดื่มน้ำเพียงพอช่วยลดอาการข้างเคียง เช่น ปวดหัว เวียนหัว ท้องผูก และช่วยให้การรักษาดำเนินต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องพักค้างหรือเลื่อนเวลา
ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม
- แนะนำทั่วไปให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 6–8 แก้ว (ประมาณ 1.5–2 ลิตร) ต่อวัน
- สำหรับผู้มีอาเจียนหรือท้องเสีย ควรเสริมด้วยน้ำเกลือแร่ (oral rehydration) หรืออย่างน้อยเพิ่มอีก 1 ถ้วยหลังเหตุการณ์แต่ละครั้ง
- บางแหล่งแนะนำให้มีน้ำดื่มจุกรมืออยู่ข้างตัวระหว่างให้ยา เช่น อย่างน้อย 1–2 ลิตรในวันฉีดยา เพื่อช่วยให้ยาไหลเวียนและถูกขับออกเร็วขึ้น
ประโยชน์ของการดื่มน้ำมากพอ
- ช่วยขับพิษจากยาเคมีบางชนิดถูกกำจัดทางปัสสาวะ การดื่มน้ำช่วยลดการสะสมของยาในร่างกาย
- ลดอาการข้างเคียง เช่น เวียนหัว ปากแห้ง ท้องผูก และปัสสาวะสีเข้ม
- รักษาการรักษาไม่ให้หยุดชะงัก เมื่อร่างกายชุ่มน้ำ ลดโอกาสที่แพทย์ต้องเลื่อนคิวหรือหยุดการรักษาเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ
- ปกป้องไตและอวัยวะสำคัญจากภาระของยาโดยเฉพาะเคมีกลุ่ม nephrotoxic
เคล็ดลับดื่มน้ำให้ง่ายและต่อเนื่อง
- ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง ตลอดทั้งวัน
- ใช้น้ำผลไม้เจือจาง น้ำมะพร้าว หรือน้ำเกลือแร่ (electrolyte) เพื่อทดแทนเกลือแร่
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ก่อการขับน้ำ เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ และน้ำตาลเข้มข้น
- เคี้ยวไอซ์ชิปหรือดื่มน้ำเย็นเพื่อลดอาการคลื่นไส้
- ตั้งนาฬิกาตั้งเตือน หรือใช้ขวดน้ำขวดใหญ่ที่กำหนดเป้าหมายการดื่มต่อวัน
สรุป
การดื่มน้ำปริมาณอย่างน้อย 6–8 แก้ว/วัน และมากกว่านั้นหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือท้องเสีย จะช่วยลดข้างเคียง ปกป้องอวัยวะ เพิ่มโอกาสให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ
