HIPEC คือ? รักษามะเร็งเยื่อบุช่องท้องด้วยเคมีบำบัดอุ่น
HIPEC (Hyperthermic Intraperitoneal Chemotherapy) เป็นนวัตกรรมการรักษามะเร็งที่แพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneal Surface Malignancies) โดยการให้ยาเคมีบำบัดที่ถูกทำให้อุ่นเข้าสู่ช่องท้องโดยตรงหลังการผ่าตัดกำจัดมะเร็ง (Cytoreductive Surgery – CRS) วิธีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาเคมีบำบัด และลดผลข้างเคียงต่ออวัยวะอื่น ๆ
กลไกการทำงานของ HIPEC
ความร้อน (Hyperthermia)
- ยาเคมีบำบัดถูกทำให้อุณหภูมิอยู่ที่ 41–43°C
- เพิ่มการซึมผ่านของยาเข้าสู่เซลล์มะเร็ง
- ทำลายกลไกการซ่อมแซม DNA ของเซลล์มะเร็ง
- กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง (Apoptosis)
การให้ยาเคมีบำบัดในช่องท้อง (Local Delivery)
- ยาเคมีบำบัดจะถูกฉีดเข้าไปในช่องท้องโดยตรง
- ให้ความเข้มข้นของยาในบริเวณที่ต้องการสูงกว่าวิธีให้ยาเข้าทางหลอดเลือดดำ
- ลดผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดต่อร่างกายโดยรวม
HIPEC ใช้รักษาโรคอะไรบ้าง?
HIPEC มักใช้ร่วมกับ CRS เพื่อรักษามะเร็งที่แพร่กระจายภายในช่องท้อง เช่น
- Peritoneal Carcinomatosis: มะเร็งแพร่กระจายจากลำไส้ใหญ่, กระเพาะอาหาร
- มะเร็งรังไข่: โดยเฉพาะกรณีที่โรคกลับมาเป็นซ้ำ
- Pseudomyxoma Peritonei (PMP): ภาวะเนื้องอกเมือกจากไส้ติ่ง
- Mesothelioma: มะเร็งเยื่อบุช่องท้องที่พบได้ไม่บ่อย
กระบวนการรักษาด้วย HIPEC
การผ่าตัดกำจัดมะเร็ง (Cytoreductive Surgery – CRS)
- ศัลยแพทย์จะพยายามตัดก้อนมะเร็งที่มองเห็นออกให้มากที่สุด
- เป้าหมายคือเหลือเซลล์มะเร็งระดับจุลภาคให้น้อยที่สุด
การให้ยาเคมีบำบัดแบบอุ่น (HIPEC Treatment)
- ใช้ยาเคมีบำบัดที่ถูกทำให้อุ่น เช่น Mitomycin C หรือ Cisplatin
- หมุนเวียนยาในช่องท้องเป็นเวลา 60–120 นาที
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมยาโดยไม่ทำลายเซลล์ปกติในร่างกาย
ข้อดีของ HIPEC
- เพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดเซลล์มะเร็ง: ความร้อนช่วยเพิ่มการซึมของยาเข้าสู่เซลล์มะเร็ง
- ลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ: กำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลือหลังการผ่าตัด
- ลดผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด: เพราะยาไม่เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทั้งหมด
- เพิ่มอัตราการรอดชีวิต: มีการศึกษาที่แสดงว่า HIPEC ช่วยให้ผู้ป่วยบางกลุ่มมีชีวิตยืนยาวขึ้น
ข้อจำกัดของ HIPEC
- ไม่เหมาะสำหรับมะเร็งทุกชนิด: HIPEC มีประสิทธิภาพดีที่สุดในมะเร็งที่แพร่กระจายเฉพาะในช่องท้อง
- ต้องการทีมแพทย์เฉพาะทาง: ศัลยแพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญสูง
- มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด: อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกหรือติดเชื้อ
- ค่าใช้จ่ายสูง: ต้องใช้อุปกรณ์และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
ขั้นตอนการรักษา HIPEC
1.การประเมินผู้ป่วย
- ตรวจร่างกายและประเมินว่าผู้ป่วยเหมาะกับการรักษาหรือไม่
- ตรวจวินิจฉัยมะเร็ง เช่น CT Scan หรือ MRI
- ประเมินสภาพร่างกายและการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ
2.การผ่าตัดกำจัดมะเร็ง (Cytoreductive Surgery, CRS)
- ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกและเซลล์มะเร็งออกให้มากที่สุด
- อาจต้องตัดอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ เช่น ส่วนของลำไส้ ม้าม หรือเยื่อบุช่องท้อง
3.กระบวนการ HIPEC
- หลังการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะวางท่อเข้าไปในช่องท้องเพื่อลำเลียงยาเคมีบำบัด
- ใช้เครื่องปั๊มหมุนเวียนยาเคมีบำบัดที่ถูกทำให้อุ่น (42-43°C) เข้าไปในช่องท้อง
- ปล่อยยาไหลเวียนอยู่ในช่องท้องประมาณ 60-90 นาที
- ความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาและลดการทำลายเซลล์ปกติ
4.การล้างยาและปิดแผล
- หลังจากครบระยะเวลาที่กำหนด ยาเคมีบำบัดจะถูกระบายออก
- ล้างช่องท้องและปิดแผลผ่าตัด
5.การพักฟื้นหลังการรักษา
- ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 7-14 วัน
- อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ หรืออ่อนเพลีย
- ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและอาจได้รับการทำเคมีบำบัดเพิ่มเติม
สรุป HIPEC ดีไหม? เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีมะเร็งแพร่กระจายเฉพาะในช่องท้อง
- ใช้ร่วมกับการผ่าตัดกำจัดมะเร็ง (CRS)
- มีประสิทธิภาพสูงในมะเร็งเยื่อบุช่องท้อง, มะเร็งรังไข่, PMP และ Mesothelioma
- ช่วยลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
หากสนใจการรักษาด้วย HIPEC ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเหมาะสมของวิธีการรักษา
