อาการท้องผูกจากเคมีบำบัด
อาการท้องผูก เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการให้เคมีบำบัด (คีโม) ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว และหากปล่อยไว้อาจรุนแรงขึ้นได้ มาทำความเข้าใจสาเหตุของอาการท้องผูกจากเคมีบำบัด และวิธีบรรเทาอาการ เพื่อช่วยให้ร่างกายรับมือกับการรักษาได้ดียิ่งขึ้น
สาเหตุของอาการท้องผูกจากเคมีบำบัด
อาการท้องผูกในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
- ผลจากยาเคมีบำบัดเอง – ยาบางชนิด เช่น vincristine ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง
- ยาเสริมที่ใช้ร่วมกัน – ยาแก้คลื่นไส้ เช่น ondansetron และยากลุ่มโอปิออยด์ (เช่น มอร์ฟีน) มักทำให้เกิดอาการท้องผูก
- ภาวะขาดน้ำและใยอาหาร – ผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้จากคีโม อาจรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้น้อยลง
- การเปลี่ยนแปลงของกิจวัตรและการเคลื่อนไหว – อ่อนเพลียจากคีโมทำให้ขยับตัวน้อยลง ส่งผลให้ลำไส้ทำงานช้าลง
วิธีบรรเทาอาการท้องผูกจากเคมีบำบัด
1. เพิ่มใยอาหาร : รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช หรือเสริมใยอาหาร เช่น psyllium husk เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน (เว้นแต่มีข้อจำกัดทางการแพทย์) เพื่อช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
3. ออกกำลังกายเบาๆ : การเดินช้าๆ หรือ ยืดเหยียดร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดอาการท้องผูกได้
4. ใช้ยาระบายตามแพทย์แนะนำ : หากอาการท้องผูกไม่ดีขึ้น สามารถใช้ยาระบายอ่อนๆ เช่น
- Lactulose – เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้
- Senokot (Senna extract) – กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
- Milk of Magnesia – ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
หากมีอาการท้องผูกรุนแรง เช่น
- แน่นท้อง ปวดเกร็งท้องมาก
- ไม่ได้ขับถ่ายนานเกิน 3 วัน
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหารร่วมด้วย
ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
อาการท้องผูกจากเคมีบำบัดสามารถจัดการได้ด้วย การปรับพฤติกรรมการกิน การดื่มน้ำ ออกกำลังกาย และใช้ยาระบายตามแพทย์แนะนำ หากอาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
